เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ธ.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพุทธศาสนานะ หลวงตาท่านบอกว่ามีบุญกุศลมาก แม้แต่คนเกิดมาเป็นมนุษย์เขาก็ยังไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เราได้นับถือศาสนาพุทธแล้วเราเป็นคนที่มีบุญวาสนา เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่ง “แห่ง” เห็นไหม ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเกิดที่ไหนล่ะ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นจากการภาวนา ปัญญาอย่างนั้นจะชำระล้างกิเลส ปัญญาอย่างเราที่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี้ ปัญญาอย่างนี้ปัญญามาเพื่อเป็นศีลธรรมจริยธรรม

ศีลธรรมจริยธรรม เห็นไหม เราไปวัดไปวากันมันเป็นวัฒนธรรม พอเป็นวัฒนธรรม เขาบอกว่าจะฟื้นฟูศาสนาๆ เพราะเดี๋ยวนี้ชาวพุทธเราติดแค่ประเพณีวัฒนธรรม นี่เพราะติดที่ประเพณีวัฒนธรรมมันก็ได้แต่เปลือกไง ได้แต่เปลือกก็ขอให้มันได้ก่อน พอได้แต่เปลือกแล้วสังคมมันร่มเย็น ถ้าสังคมรู้จักมีวัฒนธรรม มีการเคารพ มีความกตัญญู มีความเสียสละต่อกัน สังคมนั้นจะมีความอบอุ่น ศาสนานี้ที่มันไว้ใจกันไม่ได้ไง ทุกคนอยากจะทำดีนะ แต่ทำดีแล้วกลัวโดนหลอก ทำดีไปแล้วเราไม่รู้ว่าทำดีกับใคร ฉะนั้น เขาจะฟื้นฟูศาสนา

แต่ถ้าเราปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่ออะไรล่ะ? เพื่อฟื้นฟู ฟื้นฟูหัวใจของเรา ถ้าฟื้นฟูหัวใจของเรา นี่ศาสนามันอยู่ที่นี่ ธรรมะสดๆ ร้อนๆ ของนี่สดๆ ร้อนๆ เลยล่ะ แต่สดๆ ร้อนๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะ สดๆ ร้อนๆ มันรักษาไว้ได้ยาก แต่ถ้ามันเป็นบรรจุภัณฑ์ เป็นพิธีกรรม เป็นวัฒนธรรม มันสืบต่อๆ กันมา ถ้าสืบต่อกันมาเป็นประเพณีวัฒนธรรม

ประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราทะลุประเพณีวัฒนธรรมเข้าไป ถ้าเราทะลุประเพณีวัฒนธรรมเข้าไปมันจะไปเจอสัจจะความจริง สัจจะความจริงนะ ดูสิเราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราอยู่ในสังคม ปัจจุบันนี้ในการประพฤติปฏิบัติกำลังเจริญรุ่งเรือง เราออกมานี่เราออกมาประพฤติปฏิบัติ เราออกมาหาความเป็นจริงไง ความที่เป็นสดๆ ร้อนๆ ไง

ถ้าสติก็เป็นสติจริงๆ มีเนื้อหาสาระ ถ้าเป็นสมาธิก็สมาธิจริงๆ ถ้ามีปัญญา ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาในพุทธศาสนาไม่ใช่อย่างที่เขาจำๆ กันมาอย่างนั้นหรอก ถ้าจำๆ กันมาอย่างนั้นคอมพิวเตอร์มันดีกว่า คอมพิวเตอร์นะ พระไตรปิฎกมันจำได้หมดแหละ กดที่ไหนมันตอบมาได้หมดเลย แต่คอมพิวเตอร์มันไม่มีรสมีชาติ เพราะคอมพิวเตอร์มันเป็นเหล็ก คอมพิวเตอร์มันเป็นวัตถุ แต่หัวใจเราถ้ามันกระทบ ถ้ามีความรู้สึก ถ้ามีความสะเทือนใจ นี่สดๆ ร้อนๆ ไง

ถ้าสดๆ ร้อนๆ ถ้าเป็นสติก็สติจริงๆ คำว่ามีสตินะ สติคือการระลึกรู้ เด็กมันก็มีสติของมัน แต่สติแบบนี้สติแบบเด็กๆ ไง พอมีสติขึ้นมามันก็งอแงของมัน มันจะเรียกร้องของมัน พ่อแม่ก็ต้องดูแลเขา ถ้าเรามีสติ เห็นไหม ถ้ามีสติระลึกรู้ ระลึกรู้ขึ้นมามันมีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ทำสิ่งใดนี่เราไม่ควรทำ วัยเราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ทำอย่างนั้นมันน่าเกลียด แต่ถ้ามันโตขึ้นไป นี่ยิ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ เขาจะเห็นเลยว่าคนที่แสดงกิริยาอย่างนี้เขามีความคิดอย่างใด เขาหวังอย่างใด นี่สติ นี่สติของโลก

แต่ถ้าสติของธรรมล่ะ ถ้ามีสติมันทันความคิด ความคิดที่มันไหลบ่าอยู่นี่ ถ้ามีสติมันหยุดหมดไง สติมันทันความคิด ที่เราทุกข์กันอยู่นี่ทุกข์เพราะอะไร? ทุกข์เพราะความรู้สึกนึกคิดอันนี้ เห็นไหม นี่มันดันออกมา มันดันออกมา แล้วเรายับยั้งไม่ได้ ถ้ามีสติมันยับยั้ง มีสติมันก็มีสมาธิ พอมีสมาธิ เพราะการยับยั้งคือจิตเป็นปกติ ถ้าจิตเป็นปกติ นี่สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา เป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา นี่มันสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ไง มันสดๆ ร้อนๆ มันจับต้องได้ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คำว่า “สดๆ ร้อนๆ” นะ

เวลาเนื้อสดๆ เนื้อสด เวลานักล่า สัตว์นักล่ามันล่านะ ถ้าสัตว์นั้นมันล่ามาแล้วมันมีโรคระบาด สัตว์นั้นกินเข้าไป สัตว์นั้นก็จะเป็นโรคไปด้วย เราเป็นสัตว์มนุษย์ เราเป็นมนุษย์ เรามีปัญญา เราเห็นอาการของสัตว์ ถ้าสัตว์มันเป็นไข้เป็นต่างๆ มันมีเชื้อโรคของมัน อาการของมันแสดงออกอย่างนั้น เนื้อสดๆ อย่างนั้นเขาเอาไปกลบฝังซะ กินไม่ได้ กินเข้าไปแล้วมันจะมีเชื้อโรค

คำว่า “สดๆ ร้อนๆ” มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้ามันเป็นสัมมานี่มันยังถูกต้องดีงามของมัน ถ้าเป็นมิจฉาขึ้นมาก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน นี่กิเลสมันร้ายนัก กิเลสมันร้ายนัก กิเลสของเรานี่

ความเห็นแก่ตัว เรานึกว่าการเห็นแก่ตัวคือการเอารัดเอาเปรียบกัน ความเห็นแก่ตัวคือสิ่งที่มันสัมผัสขึ้นมามันก็เห็นแก่ตัว มันบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เวลาว่างๆ ว่างๆ ว่างของใคร มิจฉาสมาธิ มันเป็นมิจฉาของมัน ความสดๆ ร้อนๆ นั้นมันมีกิเลสเจือปนเข้ามา

ดูสิเนื้อสดๆ เรากินไม่ได้หรอก ถ้ามันมีเชื้อโรค เรากินไม่ได้ กินเข้าไปตาย แล้วเนื้อสดๆ เอาไปทำไมล่ะ? เอาไปกลบฝัง แต่ถ้าเป็นเนื้อที่ไม่มีเชื้อโรคล่ะ สิ่งนั้นดำรงชีวิต แล้วมีรสชาติไหม? มีรสชาติ ของยิ่งสด ยิ่งมีรสชาติ ยิ่งดียิ่งงามขึ้นไป ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม สดๆ ร้อนๆ มันก็ต้องมีสติมีปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของมัน เราจะทำอย่างไร แล้วสติปัญญาของใครล่ะ

เราก็ว่าเราศึกษามา ศึกษามาพร้อมหมดแล้วล่ะ พระไตรปิฎกก็ท่องได้หมด ท่องได้ทั้งตู้เลย แต่เวลาในพระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ใบไม้ในกำมือนะ ใบไม้ในป่า ใบไม้ที่เรากำมือ พระไตรปิฎก นี่เวลาจดจารึกมาก็เพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ แต่ใบไม้ในป่า ความเป็นไปของจิต เวลามันเข้าไป มันจะรู้มันจะเห็นของมัน แตกต่างมหัศจรรย์เยอะมาก

แล้วพอแตกต่างมหัศจรรย์เยอะมาก แล้วเราศึกษามา เราศึกษามา นี่พุทธพจน์ๆ เป็นแนวทางนี่สาธุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพบูชาอย่างสูง แต่เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่าสิ่งที่ศึกษามา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สาธุ เทิดไว้บนศีรษะ แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะเตะ มันจะถีบ มันจะขัด มันจะแย้งกันกับความรู้สึกนึกคิด

เวลาเราปฏิบัติไปนี่สดๆ ร้อนๆ ที่มันเห็นขึ้นมา มันเป็นขึ้นมา กับพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้ ทิฏฐิมานะของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เชื้อโรคอันนี้ นี่กิเลสตัณหาที่มันร้ายนักๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็บิดเบือนมาให้เป็นความรู้สึกของเรา ความเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่ตัวอย่างนี้ไง มันเห็นแก่ตัวที่มันจะเคลมเอา เคลมเอาที่เป็นสัจจะอย่างนั้นว่าเป็นของเราๆ แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่า

มิจฉาสมาธิ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมามันก็เป็นมิจฉาไง แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ ความจริงมันทำอย่างไร ความจริง เห็นไหม นี่เราพิสูจน์ เพราะเราเกิดมา เราเกิดมาอวิชชาพาเกิดมานะ เวลาคนเกิดขึ้นมาเกิดจากเวรจากกรรม เราเกิดมามีเวรมีกรรมเกิดมา แล้วนี่จริตนิสัย ดูสิอำนาจวาสนาของจิตมันแตกต่างกัน ขิปปาภิญญาเขามีสติปัญญาของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ อาฬารดาบสบอกว่ามีความรู้เสมอเรา มีความเห็นเหมือนเรา

เวลาพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปอยู่กับสัญชัย ปฏิบัติกับสัญชัยมา จนสัญชัยสอนจนสิ้นกระบวนการในการสอนของสัญชัยแล้ว

“นั่นก็ไม่ใช่”

“ไม่ใช่คืออะไร”

“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่” ไม่ใช่ต่อไป ปฏิเสธไปเรื่อยๆ

แล้วในปัจจุบันนี้พระเราสอนแบบสัญชัยเลย “นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ นั่นก็เป็นความว่าง กิเลสก็ไม่ใช่เรา มันก็เป็นสัจจะ มันเป็นสักแต่ว่า” นี่สัญชัยดีๆ นี่แหละ เพราะอะไร “นั่นก็ไม่ใช่เรา ไอ้ไม่ใช่เราก็คือไม่ใช่เรา แล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่...แล้วไม่ใช่แล้วอย่างไรต่อ ก็ไม่ใช่” ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ แล้วมันจบที่ไหนล่ะ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านปรึกษากัน “เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาก็นานแล้ว ศึกษากับท่านมาจนจบสิ้นกระบวนการแล้ว เราก็ยังมีกิเลสอยู่นี่ สัญญากันไว้ว่าวันไหนเราเจอครูบาอาจารย์ต้องบอกกันนะ”

เวลาพระสารีบุตรไปเห็นพระอัสสชิบิณฑบาต การเคลื่อนไหวมีสติสัมปชัญญะ อืม! มันสะดุดตา นี่ตามไปๆ พอพระอัสสชิฉันข้าวเสร็จแล้วเข้าไปถามท่าน

“ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนอย่างไร”

“โฮ้! เราเป็นผู้บวชใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าธรรมทั้งหลายมันมาแต่เหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไป มันต้องมีเหตุมีผลของมัน มันมีที่เกิดที่ดับ เกิดมันเกิดอย่างไร ถ้าจะดับมันจะมีปัญญาอย่างใด”

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น”

นี่พระสารีบุตรได้ฟังพระอัสสชิพูด เห็นไหม ท่านฟังสัญชัยมาตลอด “ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ใช่คือจบ” ไม่ใช่มันส่งออกมาเรื่อยๆ มันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

“ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”

“ในไม่ใช่มันคืออะไรล่ะ”

“ในไม่ใช่มันก็มีไม่ใช่”

“แล้วในไม่ใช่มันคืออะไรต่อไปล่ะ” มันไปเรื่อยๆ นี่มันส่งออกไปตลอดเลย

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับ ย้อนกลับนะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” สิ่งที่ไม่ใช่ทำไมมันถึงไม่ใช่ล่ะ แล้วไม่ใช่ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ไอ้ที่ไม่ใช่มันเกิดมาจากไหนล่ะ นี่มันทวนกระแสกลับไป

พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบัน ไปบอกพระโมคคัลลานะ ได้ฟังนี่เป็นพระโสดาบัน ไปชวนกันนะ ไปชวน นี่สงสารสัญชัย ไปชวนสัญชัยบอกไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด สัญชัยบอกว่า “ไปทำไม คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มากฉันจะอยู่กับคนโง่ คนที่ฉลาดให้ไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วนะ

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบสบอกว่าเหมือนเราๆ ในปัจจุบันนี้มันสอนกันอย่างใด “นั่นก็ไม่ใช่เรา นั่นก็สักแต่ว่า” สักแต่ว่ามันก็ขอนไม้ไง ธาตุมันก็เป็นสักแต่ว่าอยู่แล้ว ดูสิลมพัดนี่ฝุ่นมันก็สักแต่ว่า มันก็ปลิวไปธรรมชาติของมัน แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ มันเป็นอย่างไร

เห็นไหม ถ้ามันจะสดๆ ร้อนๆ มันก็ต้องมีปัญญา ถ้ามันเป็นปัญญาขึ้นมาก็ต้องเป็นสัมมา อย่าให้เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัว ทิฏฐิมานะว่าเห็นแก่ตัวๆ เห็นแก่ตัวคือการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น

เห็นแก่ตัวก็คือเห็นแก่ความรู้สึกเรานี่แหละ เห็นแก่ตัวคือเห็นแก่การเกิดขึ้นมานี่ แล้วมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริง มันมีอะไรเป็นความจริง ถ้ามีความจริง อะไรเป็นความจริงล่ะ เห็นไหม ถึงจะสดๆ ร้อนๆ นะ

นี่เนื้อสดๆ มันตายเพราะพิษไข้ มันตายเพราะโรคของมัน แต่เวลาโรงฆ่าเขาฆ่าของเขา เห็นไหม การฆ่าคือฆ่ากิเลสไง นี่เวลามันตาย มันตายเพราะมันเจ็บไข้ได้ป่วยของมัน มันมีเชื้อโรค กินไม่ได้ กินเข้าไปเชื้อโรคติดเรา ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ เกิดเดี๋ยวนี้มันก็สดๆ ร้อนๆ ไง ธรรมะเป็นของสดๆ ร้อนๆ ก็บ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่นี่ หลงสดๆ ร้อนๆ อยู่นี่ นี่สดๆ ร้อนๆ มันก็ไป

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีครูมีอาจารย์นะ มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาท่านรู้หมดแล้วล่ะ เพียงแต่เวลาท่านเตือนเราด้วยความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวคือเห็นแก่ทิฏฐิ เห็นแก่มานะของเรา แต่ถ้าเรามีความรู้สึกนึกคิดของเรา เราหาเหตุผลนะ ถ้าหาเหตุผล เราก็ต้องเอาเหตุผลของเราออกมาตีแผ่กัน ถ้าเหตุผลของครูบาอาจารย์ ถ้าท่านผ่านมาแล้วต้องดีกว่า ดีกว่าเพราะเหตุใด ดีกว่าเพราะท่านรู้ว่าอะไรเป็นเชื้อ อะไรที่มันตายโดยธรรมชาติของมัน อะไรที่เป็นประโยชน์ท่านจะรู้ของท่าน อะไรที่มันมีประโยชน์แต่มันก็มีโทษด้วย

มรรคหยาบ มรรคละเอียด ถ้ามรรคมันหยาบๆ เราก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลย พอมรรคละเอียดขึ้นมา กิเลสมันก็ละเอียดมาด้วย กิเลสมันอยู่ในจิตใต้สำนึกมันก็เอาสิ่งนี้มาล่อเรา แล้วเราทำอย่างไรต่อไป คำว่าธรรมะสดๆ ร้อนๆ มันเป็นความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ เห็นไหม เวลาไปเทศน์กับปัญจวัคคีย์ “ถ้าไม่รู้ก็บอกไม่รู้ เดี๋ยวนี้รู้แล้วจงเงี่ยหูลงฟัง เราตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบ”

แต่เรารู้ขึ้นมานี่รู้จำ โดยไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร เพราะมันรู้มาจากข้างนอก แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันค้านอยู่ข้างใน นี่มันดันอยู่ข้างใน สดๆ ร้อนๆ ก็ต้องเป็นสดๆ ร้อนๆ ตามความเป็นจริง ธรรมะเป็นสดๆ ร้อนๆ นะ ถ้าจะฟื้นฟูศาสนา ฟื้นฟูกันที่นี่

หลวงตาท่านพูดบ่อย ธรรมทูตๆ เอาอะไรไปเผยแผ่ เอากิเลสไปเผยแผ่ใช่ไหม เอาความมืดบอดไปเผยแผ่ใช่ไหม แต่ถ้ามันจะเผยแผ่ๆ มันเผยแผ่มาจากหัวใจที่ความเป็นจริงขึ้นมา เผยแผ่อย่างนี้เผยแผ่จากความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงขึ้นมา นี่ธรรมะถ้าฟื้นฟูฟื้นฟูที่นี่

ฟื้นฟูใจของเราก่อน อย่าไปห่วงอาลัยเลยว่าจะไปฟื้นฟูที่ไหน เพราะสังคม ปัญหาสังคม สังคมนะมันเกิดขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ก่อนที่องค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติ มันแย่กว่านี้เยอะมาก เวลาองค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นออกปฏิบัติมีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม มีแต่คนดูถูก “นี่จะไปไหนกัน จะไปทำอะไรกัน วัดนี่ พระก็อยู่ในวัดนั่นล่ะ อย่างนั้นพอใจอยู่แล้ว” ท่านก็ยังกัดฟันทนทำของท่านมา ใครจะดูถูกเหยียดหยามมันเรื่องของเขา แต่ในใจของเราเอาความจริงของเราขึ้นมาในใจ

ชีวิตหนึ่ง ยุคคราวหนึ่ง สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วก็สมัยหลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ของเรานี่ยุคหนึ่ง หลวงตาเป็นยุคที่ ๓...๓ ชั่วอายุคนทำให้ฟื้นฟูสังคมมาอยู่นี่ ฟื้นฟูศาสนานี่ฟื้นฟูที่ในใจขององค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงปู่เสาร์ แล้วฟื้นฟูมาจนกรรมฐานเข้มแข็งขึ้นมา จนประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อยากจะทำตามๆ เพราะมันมีมรรคมีผลตามความเป็นจริงไง ถ้ามีมรรคมีผลตามความเป็นจริงมันต้องชำระกิเลส มันต้องฆ่ามัน

การฆ่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การฆ่า การทำลายกันนี้เป็นสิ่งที่เป็นอกุศล ไม่ให้ทำทั้งสิ้น เพราะมันสร้างเวรสร้างกรรม ไม่ให้สร้างเวรสร้างกรรมต่อกันนะ แต่ถ้าการฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งเสริม ปรารถนา ให้เห็นการกระทำ มันถึงว่าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง ถ้ามันสดๆ ร้อนๆ ก็ต้องชำระล้างสิ่งที่เป็นพิษเป็นไข้ออกมา มันเป็นเนื้อสดๆ ที่มันสะอาดบริสุทธิ์

เนื้อ ๓ ส่วน ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้เจาะจงเพราะเรา สิ่งนี้มาโดยเจตนาของเขา สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้พระฉันได้ๆ เนื้อที่สะอาดบริสุทธิ์มันมีไหม เนื้อสะอาดบริสุทธิ์คือว่าเจตนาไง ไม่มีเจตนาแง่งอนอย่างใดทำให้เพื่อเรา ไม่มีแง่มีงอนทำเล่ห์ทำกลเพื่อเรา ไม่เจาะจงมาเพื่อเรา แต่ถ้ามันทำความเป็นจริงขึ้นมา นี่มันสะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นด้วยเจตนา เห็นไหม เนื้อก็คือเนื้อ มันสะอาดไม่สะอาดอยู่ที่เจตนาของคน มันสะอาดบริสุทธิ์ด้วยหัวใจของคน ถ้าหัวใจทำคุณงามความดีแล้วนะมันสิ้นกระบวนการไปหมดแล้ว นี่ธรรมะสดๆ ร้อนๆ

เราเป็นชาวพุทธนะ เราก็ทำบุญกุศลกันตามประเพณีวัฒนธรรม แล้วเราจะมาฟื้นฟูจิตใจของเรา ถ้ามีสติ เห็นไหม การเดินจงกรม การนั่งสมาธิมันจะสงวนรักษานะ ความสงบ ความสงัดไง นี่วิเวก จากกายวิเวก จิตวิเวก ถ้าวิเวกขึ้นมานะ มันถึงในใจของเรา มันเห็นคุณค่ามาก ถ้าเห็นคุณค่ามากแล้วเป็นขึ้นมา นี่สิ่งที่มันสุมในใจ ทำไมมันโล่งได้ มันปล่อยวางได้

ปล่อยวางได้ถ้ามีสติมันก็เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้นแหละ ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันขุด เห็นไหม นี่หลวงตาท่านบอกว่า การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานประเภทหนึ่ง การขุดคุ้ยหากิเลส แล้วเวลาเจอกิเลสแล้วชำระล้างกิเลส นั้นเป็นปัญญาที่ฟาดฟัน นั้นเป็นงานอีกประเภทหนึ่ง ไอ้เราบอกว่า “พอสงบแล้ว พอเป็นไปแล้ว...” นี่กิเลสมันร้ายนัก เชื้อไขของกิเลสมันหลอกมันลวงไป นี่พูดถึงประพฤติปฏิบัติไง

ถ้าสดๆ ร้อนๆ เราก็ต้องมีกาลามสูตร ตรวจสอบของเรา เพื่อจิตใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้ “อานนท์ เธอบอกเขานะ เวลาบูชาเราด้วยอามิสบูชา สิ่งนี้มันก็เป็นบุญกุศล แต่ให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด ศาสนาจะมั่นคง ปฏิบัติบูชา” เอวัง